รอคอย: Marc Lalonde หนึ่งในบรรดาชาวเมืองแอสเบสตอส (Asbestos) ที่ตื่นเต้นกับการที่เหมืองเจฟฟรี (Jeffrey Mine) จะกลับมาเปิดตัวอีกครั้งหนึ่ง ร่วมบาร์บีคิวสังสรรค์กับครอบครัว
มันอาจจะเป็นสารก่อมะเร็ง และเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับที่อื่น แต่แร่ใยหินมีความหมายว่างานและความมั่นคงของเมืองนี้ ที่ที่ทุกคนรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในตอนนี้เงินกู้ได้รับการอนุมัติ และทุกๆคนก็พร้อมที่จะกลับไปทำงาน
การที่รัฐบาลเมืองควิเบคเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ได้ให้เงินกู้ให้กับ Balcorp Ltd. เป็นเงิน 58 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะได้เปิดกิจการขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ได้รับการมองว่าเป็นการลงทุนที่ดี
ประชาชนในเมืองต่างยินดีกับการกลับมาของเหมืองใยหิน
เมืองแอสเบสตอส– หลุมเปิดขนาดใหญ่สีเทาของเหมืองเจฟฟรี (Jeffrey Mine)อาจดูเงียบเหงาตั้งแต่การหยุดทำการเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่วันนี้ชาวเมืองต่างพากันตื่นเต้นกับการกลับมาดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง
จากการสัมภาษณ์ประชาชนชาวเมืองทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการตัดสินใของรัฐบาลในการให้เงินกู้ 58 ล้านเหรียญสหรัฐแก่บริษัทบาลคอร์ป (Balcorp Ltd.) ที่มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองมอนทรีออลเพื่อเป็นการช่วยให้เหมืองเปิดดำเนินการได้ในทันทีนั้นเป็นการกระทำที่ส่งผลดีต่อชุมชน ประชาชนต่างพากันชื่นชมยินดีกับการประกาศของรัฐบาลเมื่อวันศุกร์ว่าเหมืองจะกลับมาดำเนินการกิจการ
เหนือสิ่งอื่นใดการเปิดเหมืองขึ้นอีกครั้งจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และเป็นการให้ชีวิตใหม่กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองถึงแม้ว่าจะมีการตั้งข้อสงสัยจากภายในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับจริยธรรมของอุตสาหกรรมก็ตาม
“ความรู้สึกแรกคือฉันโล่งใจ” เป็นคำให้สัมภาษณ์ของแคโรลิน เพเยอร์ ที่ย้ายจากเมืองมอนทรีออลมาที่เมืองแอสเบสตอสตั้งแต่ปี 2006 “เรารอคอยการตัดสินใจเรื่องนี้มากว่า 3 ปี(และ) เราก็ไม่แน่ใจว่าจะมีวันนี้หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ (Jeffrey Mine) ในสื่อ แต่นี่ถือเป็นข่าวดีจริงๆ”
เพเยอร์กล่าวว่า ประชาชนในเมืองราว 7,000 คนจะสามารถรับรู้ได้ถึงผลกระทบของเงินกู้ก้อนนี้ “เรารู้สึกขอบคุณ” เธอกล่าว Local Liberal MNA อีวอน แวลเลรี่ส์ ประกาศว่าการลงทุนครั้งนี้จะสร้างงาน 425 ตำแหน่งโดยตรงที่เหมือง และอีกประมาณ 1,000 ตำแหน่งโดยทางอ้อมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในเมือง ซึ่งถือว่า “เป็นจำนวนมากสำหรับเรา” เพเยอร์กล่าว
ในระหว่างการสัมภาษณ์ที่ลูกสาววัย 3 ขวบของเธอลอเรลี่ วิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ และสามีของเธอกำลังติดตั้งเต็นท์สำหรับเด็กเล่นอยู่ที่สนามหน้าบ้าน เพเยอร์อธิบายว่าเงินกู้ก้อนนี้จะสามารถยกระดับสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘การเปลี่ยนแปลงในละแวกเพื่อนบ้าน (change in neighborhood)’ สำหรับครอบครัวอย่างเธอเมื่อมีคนย้ายมาที่เมืองเพิ่มมากขึ้น
“มันเป็นเพราะคุณภาพชีวิตที่ครอบครัวรุ่นใหม่เลือกที่จะอยู่ กลับมาหรือย้ายมาสร้างตั้งแต่แรก” เธอกล่าว “แต่เราต้องการคนใหม่ๆ และแน่นอน (เงินกู้) จะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่”
โดนาแวน อาร์เซนอล คนงานก่อสร้างวัย 24 ปี ที่อาศัยยู่ที่เมืองแอสเบสตอสกับแฟนสาวและลูก 2 คนเห็นเช่นเดียวกันกับเพเยอร์ อาร์เซนอลยังมีแผนที่จะส่งใบสมัครไปที่ Jeffrey Mine ในเร็ววันนี้อีกด้วย
การเดินทางประมาณ 45 นาทีระหว่างที่ทำงานในเมืองวิคตอเรียวิลล์และบ้านทุกๆวันทำให้เขาอยากที่จะหางานทำใกล้ๆบ้าน “ถ้าเราไม่มีเหมือง เราก็ไม่มีเมือง และไม่มีอะไรเลย” อาร์เซนอลกล่าว “ที่นี่เต็มไปด้วยคนวัยเกษียณที่เคยทำงานที่ Jeffrey Mine ส่วนคนหนุ่มสาวต้องไปหางานทำที่อื่น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีมากที่คนรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสทำงานที่เหมือง”
ก่อนที่จะปิดตัวลง Jeffrey Mine เป็นองค์กรที่จ้างงานมากที่สุดสำหรับเมือง และเมื่อเหมืองประสบปัญหา ชุมชนก็ประสบกับปัญหาไปด้วย
จากการสำรวจสำมะโนประชากร จำนวนประชากรของเมืองลดลงเกือบครึ่งระหว่างปี 2001-2011 จากประมาณ 14,000 คน เหลือเพียง 7,000 คน ในปัจจุบัน มีการให้เหตุผลว่าจำนวนประชากรที่ลดลงเป็นเพราะเหมืองปิดตัวลงครั้งหนึ่งก่อนปี 2002หลังจากที่ราคาแอสเบสตอสตกลงทำให้มีคนงานตกงาน 350 คน ซึ่งครั้งนั้นทางเหมืองไม่สามารถร้องขอให้รัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยเป็นเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐได้ ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากที่ต้องเดินทางออกจากเมืองเพื่อไปหางานทำที่อื่น
นอกจากจะเป็นการสร้างงานแล้วผู้สนับสนุนยังเสริมว่าเมืองจะได้รับประโยชน์จากเงิน 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐที่กำหนดขึ้นเพื่อสร้างความหลากหลายของงานต่างๆ นอกเหนือจากเศรษฐกิจที่พึ่งการทำเหมืองเหมืองไปอีกนอกเหนือจากการเติบโตทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมเดี่ยวต่อไปถึง15-20 ปี เงินก้อนนี้จะแยกจาก 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ Balcorp Ltd.จะต้องจ่ายเงินคืนรัฐบาลพร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่ปี 2015-2031 แต่การจะสร้างงานที่หลากหลายเพิ่มขึ้นนั้นยังเป็นข้อสงสัยของทุกๆคนอยู่
“งาน (ในเหมือง) จะทำให้เมืองมีชีวิตต่อไป มิฉะนั้นเมืองก็จะตาย ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่นี่” มาร์โค บริเยร์ผู้กล่าวว่าเขาไม่สามารถนึกภาพอุตสาหกรรมอื่นเติบโตได้ในเมืองนี้กล่าว “ไม่มีใครอยากที่จะเปิดร้านขายของที่นี่ เพราะคนไม่มีเงินจะซื้อ นี่คือเมืองแห่งการขอยืม”
บริเยร์อาศัยอยู่ที่เมืองแอสเบสตอสมาตลอดทั้งชีวิตกับพี่น้องชายหญิง 7 คน พ่อของเขาทำงานที่เหมืองมา 35 ปีก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกล้มความตั้งใจที่จะสมัครงานที่ Jeffrey Mine เมื่อเร็วๆนี้บริเยร์ได้ส่งประวัติการทำงานเพื่อสมัครงานเมื่อเขาได้ยินว่า Jeffrey Mineจะกลับมาดำเนินกิจการอีกครั้ง
การเป็นสารก่อมะเร็งการสัมผัสเส้นใยแร่ใยหินในการทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังพัฒนาที่ขาดมาตรฐานในการขนส่งและการใช้ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง100,000 คนทุกปีทั่วโลกตามที่ Canadian Cancer Society ได้กล่าวไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างแร่ใยหินกับจำนวนผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอด มะเร็งบริเวณช่องอก มะเร็งระบบทางเดินอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางอนามัย นักสิ่งแวดล้อมและนักวิทยาศาสตร์กล่าวหาการที่รัฐบาลประกาศให้เงินกู้ในเมืองควิเบค
“ความเสี่ยงต่อสุขภาพขึ้นอยู่กับระบบและสุขภาพของแต่ละบุคคล มีคนมากมายที่ทำงานในเหมืองเป็นปีๆแต่ไม่มีปัญหา” บริเยร์กล่าว “ผมไม่ใช่แพทย์ แต่มันก็เป็นไปได้ที่จะเสียชีวิตจากโรคมะเร็งโดยที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลยตลอดชีวิต และถ้าเป็นที่ทราบกันว่าบุหรี่เป็นอันตราย ทำไมจึงไม่เอาออกไปเลย แล้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ก็พรากชีวิตรุ่นลูกหลานไปเหมือนกัน มันมีผลประโยชน์มหาศาลในสิ่งเหล่านี้จึงยากที่จะหยุดการผลิต”
บริเยร์ทราบถึงการกล่าวหาของนานาชาติเรื่องผลิตภัณฑืที่มีแร่ใยหินและเทคนิควิธีการทำเหมืองแต่ก็ได้กล่าวว่ายังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่สามารถทนความร้อนและไม่ติดไฟมาแทนที่ในตลาดได้ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าเหมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานซึ่งแตกต่างจากช่วงเวลาเมื่อตอนที่พ่อเขายังทำงานอยู่ เพื่อปกป้องคนงานที่ต้องทำงานกับสารที่อาจเป็นอันตราย
เมารีส กิลบิร์ตทำงานที่เหมืองมา 19 ปีก็ไม่มีปัญหากับขั้นตอนในโรงแยกแร่ “เราไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่แร่ใยหินออกจากควิเบคไป แต่ที่นี่เราไม่มีการเจ็บป่วยกัน ผมไม่เคยจามเลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ ในขณะที่ทำบาร์บีคิวสังสรรค์กันที่สนามหน้าบ้าน “มันไม่มีอันตรายที่นี่ แต่ข้างนอกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาของอุตสาหกรรมที่นี่หรือปัญหาของเรา มันไม่มีอันตรายที่นี่”
ที่บาร์บีคิวสังสรรค์ที่เดียวกัน เพื่อนบ้านของเขาชื่อมาร์ค ลาลองที่เห็นด้วยเช่นกันกล่าวว่า “คนที่ต่อต้านสิ่งที่เรากำลังทำพยายามนำโฆษณาชวนเชื่อเรื่องเก่าๆที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมัยก่อนและกรรมวิธีการทำเหมืองแบบเก่า” เขาอธิบายและกล่าวต่อว่าเขาอยากจะเห็นการศึกษาที่ตรงประเด็นและมีความเป็นกลางเผยแพร่ในสื่อมากกว่านี้ “ผมไม่สามารถจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น (นอกเมืองควิเบค) เมื่อสินค้าออกไปจากเมือง เพราะว่าผมไม่รู้ แต่เหตุผลที่เราทำเหมืองก็เพราะว่ามีคนต้องการใช้เพื่อทนความชื้น ทนไฟ และอีกหลายอย่าง ถ้าหากเราสามารถหาวิธีการที่จะแยกแร่ออกมาอย่างปลอดภัยและพัฒนาต่อไป ผมก็ไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหา ถ้าไม่ทำที่นี่ ที่อื่นเขาก็ทำกัน”